จากที่แบงก์ชาติออกมาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ยืดการผ่อนขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 8% ยาวไปจนถึงปี 68 ซึ่งจากเดิมจะหมดมาตรการผ่อนปรนสิ้นปีนี้ พร้อมให้เครดิตเงินคืนรวม 0.75% สำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระ ขณะโครงการปิดจบหนี้ได้ขยายระยะเวลาปิดหนี้ใน 7 ปี จากเดิม 5 ปีอีกด้วย
1.การผ่อนชำระขั้นต่ำ (minimum payment)ของบัตรเครดิต
1.1 ผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 8 ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 จากเดิมที่กำหนดให้อัตราดังกล่าวกลับสู่เกณฑ์ปกติที่ร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 แต่..เพื่อช่วยลดภาระการจ่ายชำระหนี้ และรักษาสภาพคล่องให้ครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง โดยธปท. จะติดตามและประเมินผลของมาตรการอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำที่เหมาะสมต่อไป
1.2 ลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่า หรือ เท่ากับร้อยละ 8 จะได้รับเครดิตเงินคืนเทียบเท่าดอกเบี้ยร้อยละ 0.5 ของยอดค้างชำระ สำหรับครึ่งปีแรก และร้อยละ 0.25 สำหรับครึ่งปีหลัง ของปี 2568 โดยได้รับคืนทุก 3 เดือน เพื่อสร้างจูงใจให้ลูกหนี้ได้ปิดจบหนี้เร็วขึ้นและมีภาระดอกเบี้ยทั้งสัญญาลดลง
1.3 ลูกหนี้ที่เดิมจ่ายขั้นต่ำที่ร้อยละ 5 แต่ไม่สามารถจ่ายได้ถึงร้อยละ 8 สามารถใช้สิทธิปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสียโดยเปลี่ยนประเภทหนี้ของบัตรเครดิตไปเป็นสินเชื่อระยะยาว (term loan) เพื่อจ่ายชำระเป็นงวด
โดยลูกหนี้จะยังมีโอกาสได้สภาพคล่องจากวงเงินบัตรเครดิตส่วนที่เหลือ ทั้งนี้ ธปท. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้เพิ่มเติมด้วย เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่ง ธปท. จะดำเนินการเพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน 2567
2. การรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อย (Debt Consolidation)
ธปท. ส่งเสริมให้สถาบันการเงิน (สง.) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการรวมหนี้บ้านและสินเชื่อรายย่อยได้มากขึ้น โดยผ่อนปรนเงื่อนไขอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (loan-to-valueratio) ในทุกลำดับสัญญาสำหรับกรณีรวมหนี้ ให้สามารถเกินกว่าเพดานที่กำหนด
โดยผู้ให้บริการที่เป็นผู้รวมหนี้ต้องดูแลให้ภาระของลูกหนี้ภายหลังการรวมหนี้บรรเทาลงกว่าก่อนรวมหนี้ เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม และค่างวดที่ต้องชำระต่ำกว่าค่างวดรวมที่เคยจ่าย โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในปี 2568
3. การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)
ธปท. ขยายระยะเวลาการปิดจบหนี้จากภายใน 5 ปี เป็น 7 ปี (อัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีเท่าเดิม) เพื่อให้ค่างวดที่ลูกหนี้ต้องชำระปรับลดลง และลูกหนี้จะยังมีโอกาสได้สภาพคล่องจากวงเงินสินเชื่อส่วนที่เหลือ
รวมถึงกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องให้ข้อมูลเพื่อกระตุกพฤติกรรม (nudge) ลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น สื่อสารข้อดีข้อเสียของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แสดงตารางข้อมูลระยะเวลาการผ่อนชำระพร้อมภาระดอกเบี้ยโดยมาตรการจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ สำหรับลูกหนี้ในกลุ่มเปราะบางที่ยังมีภาระหนี้สูงและมีปัญหาสภาพคล่อง ธปท. ยังมีมาตรการที่กำหนดให้ผู้ให้บริการทางการเงินเข้าช่วยเหลือเพื่อช่วยลดภาระลูกหนี้ให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำรงชีพ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้งและหลังเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง ภายใต้หลักเกณฑ์ Responsible Lending
นอกจากนี้ยังรวมถึงการปรึกษาปัญหาหนี้กับหมอหนี้ และโครงการคลินิกแก้หนี้ โดย ธปท. จะติดตามประสิทธิผลและผลข้างเคียงของมาตรการอย่างใกล้ชิด และ จะพิจารณาปรับมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
เรื่องนี้..ดีต่อลูกหนี้อย่างไร?
1. ภาระดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้น ลูกหนี้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากเดิม ทำให้สามารถบริหารจัดการหนี้สินได้ตามแผนที่วางไว้ได้
2. ความสามารถในการชำระหนี้ ไม่กระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้ ทำให้โอกาสผิดนัดชำระหนี้ลดลง
3. การวางแผนการเงิน ลูกหนี้สามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลง
4. ช่วยเสถียรภาพทางการเงิน ช่วยรักษาเสถียรภาพทางการเงินของครัวเรือนและธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
5. การบริโภคและการลงทุน อาจช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนและธุรกิจมีภาระดอกเบี้ยที่ไม่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม นโยบายการเงินอื่นๆ และสถานการณ์ของแต่ละบุคคลหรือธุรกิจด้วย ดังนั้น เราควรระมัดระวังการเงินของเรา พร้อมทั้งออมเงินเพื่อพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
Comments